ในปี 1947 AKG ถูกก่อตั้งขึ้น โดย Dr. Rudolf Goerike และ Ernst Pless ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียAKG มีแรงบันดาลใจมาจากความหลงใหลในเสียงของดนตรี และมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างนวัตกรรมที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดในโลกของดนตรี “หากพูดถึงเสียงที่ดีที่สุด ก็จะต้องนึกถึง AKG“ไมโครโฟนของ AKG ตัวแรก ถูกใช้ในสถานีวิทยุ โรงภาพยนตร์ และแจ๊สคลับ โดยไมโครโฟนตัวแรกนี้มีชื่อรุ่นว่า “AKG DYN” ถูกผลิตโดยคนงาน 5 คนในขณะนั้นหูฟัง AKG ได้ถูกผลิตออกสู่ตลาด ครั้งแรก ในปี 1949 จากนั้นในช่วงที่เปิดกิจการมากว่า 50 ปี AKG ก็ได้พัฒนา และสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่หลายอย่าง ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น.AKG ได้ผลิตไมโครโฟนคอนเดนเซอร์คุณภาพสูงตัวแรกของโลก คือ ไมโครโฟนรุ่น D 12 ที่มี Polar Pattern แบบ Cardioid กับ ไมโครโฟน Multi-Pattern Capacitor ที่ควบคุมด้วยรีโมตตัวแรกของโลก คือ C 12 และ D 36และผู้ที่ทำให้เจ้า C 12 ได้แจ้งเกิดจนเป็นที่นิยมใช้กันก็คือ British Broadcasting Corporation หรือ BBC ในลอนดอน ประเทศอังกฤษนั่นเองAKG ได้ขยายสาขาไปที่เยอรมนีซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1955 ในช่วงปลายทศวรรษที่ 50 เครือข่ายการจัดจำหน่ายทั่วโลกของ AKG ได้เติบโตขึ้นไปยังส่วนอื่นๆ ของยุโรปและต่างประเทศในช่วง 60 หลังจากก่อตั้ง AKG ประสบความสำเร็จในการส่งออกไปยังประเทศกลุ่มตะวันออกและละตินอเมริกา ด้วยความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพทางเทคโนโลยี AKG จึงมุ่งเน้นที่จะพัฒนาตัวแปลงสัญญาณเสียงคุณภาพสูงผลลัพธ์ที่ได้คือสามารถผลิตคุณภาพเสียงที่ดีที่สุดออกมาได้ ในปีถัดมา AKG ได้เปิดตัวไมโครโฟนแบบคาร์ดิออยด์แบบสองทางตัวแรกของโลก (D 202, D 224) และพัฒนาระบบไมโครโฟนคอนเดนเซอร์แบบโมดูลาร์ CMS
AKG ยุคปี 1980-1990
ในช่วงต้นปี 70 AKG ได้ปล่อยเอฟเฟคอนาล็อก Reverb รุ่น BX 20 ออกมาเพื่อใช้ในสตูดิโอแบบพกพาเครื่องแรกของโลกปลายปี 70 AKG ได้ลงนามกับ Frank Sinatra, Roger Whittaker, Falco และศิลปินอื่น ๆ ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี และเป็นเจ้าแรกในการปรับปรุงเทคโนโลยีดิจิตอลที่สำหรับอนาคตให้สมบูรณ์แบบAKG ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมอสโก (ปี 1980) และเดินหน้าพัฒนาอุปกรณ์เสียงให้ดียิ่งขึ้น เช่น เอฟเฟค Reverb รุ่น BX 25 ED หรือไมโครโฟนคอนเดนเซอร์แบบสเตอริอที่มีไดอะแฟรมขนาดใหญ่ และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อื่นๆในปี 1984 AKG ได้มีการเติบโตอย่างมหาศาล และขยายบริษัทในเครือของ AKG ในสหรัฐอเมริกาขึ้น ในปี 1985 ตามมาด้วยการการเข้าซื้อกิจการ dbx Professional Products ที่เป็นอีกหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์เสียงในช่วงเริ่มต้นของยุค 90 AKG ได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อโครงการอวกาศ “Audimir” ใช้ผลิตภัณฑ์ AKG สำหรับการจำลองห้องในอวกาศAKG ยังคงพัฒนา และสร้างอุปกรณ์เสียงขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา โดยได้ผลิตหูฟังมอนิเตอร์ตระกูล K Series, ไมโครโฟนไดนามิก Tri-Power Series, ระบบไมโครโฟนโมดูลาร์ AKG Blue Line Series, ไมโครโฟนรุ่น C 547, C 621, C 647, ไมโครโฟนคอห่าน และการออกแบบระบบติดตั้ง
AKG ในยุค 1994-ปัจจุบัน
ในปี 1994 AKG ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Harman International Industries, Inc. ซึ่งเป็นเวลาของการปรับโครงสร้างการพัฒนาการผลิต และกลยุทธ์การจัดจำหน่าย เพื่อขยายการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ของ AKG และเพิ่มการยอมรับจากทั่วโลกAKG ได้ผลิตไมโครโฟนแบบไร้สายที่มีคุณภาพดีเทียบเท่าไมโครโฟนแบบใช้สาย และถูกนำมาใช้ในทัวร์คอนเสิร์ตโดย Rod Stewart, Peter Gabriel และ Simply Red 1995และต่อมาก็ได้เปิดตัวไมโครโฟนที่มีไดอะแฟรมคู่ที่เล็กที่สุดในโลกคือรุ่น CK 77/C 577 ที่ถูกออกแบบมางานแสดงภาพยนตร์ หรือละคร AKG ยังได้พัฒนา Performer Series ใหม่ ซึ่งเป็นไมโครโฟนราคาไม่แพงสำหรับร้องคาราโอเกะ การบันทึกเสียงที่บ้าน และสำหรับการเล่นดนตรีสดในปี 2007 AKG ฉลองครบรอบ 60 ปี และได้ปรับเปลี่ยนโลโก้องค์กรใหม่ และภาพลักษณ์ของแบรนด์เพื่อให้มีภาพลักษณ์ที่คนจดจำยิ่งขึ้น โดย AKG ยังคงมีเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้านการผลิตอุปกรณ์เสียงดีๆ ให้กับศิลปินและนักดนตรีได้ใช้กันไมโครโฟนและหูฟังของ AKG มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการออกทัวร์และในสตูดิโอร่วมกับนักดนตรีนานาชาติ เช่น Frank Sinatra, Eric Clapton, Peter Gabriel, Stevie Wonder, Aerosmith, the Rolling Stones, Rod Stewart, Anastasia, Eros Ramazotti, Kayne West และ Simply Redไม่เพียงแต่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติเท่านั้น AKG ยังมีศิลปินในประเทศที่ยอมรับ และใช้อุปกรณ์ของ AKG โดยที่ Falco ป๊อปสตาร์ชื่อดังของออสเตรียนับว่าเป็นผู้ใช้ AKG เช่นเดียวกับดาราสาวชาวออสเตรียชื่อ Christina Stuermerเพราะการพัฒนาที่ไม่หยุดหย่อนของ AKG เลยทำให้เราได้สัมผัสกับเสียงที่มีคุณภาพกันอย่างยาวนานแบบนี้นั่นเอง